topics คริปโต

อนาคตของ Bitcoin จะเป็นเช่นไร (2023)

เริ่มต้น
คริปโต
Bitcoin
2023年6月12日

Bitcoin และคริปโตเคอเรนซีอื่นๆ กำลังได้รับการยอมรับจากผู้คนอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ในปัจจุบันคริปโตเคอเรนซีมีมากกว่า 20,000 สกุล และไม่มีใครรู้ว่าจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าใดในอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ นับได้ว่าเป็นกว่าทศวรรษแล้วตั้งแต่ที่ Bitcoin เกิดขึ้นมา แล้วอนาคตของ Bitcoin ล่ะจะเป็นเช่นไร 

สิ่งหนึ่งที่เรารู้กันคือ อนาคตของ Bitcoin จะสดใสอย่างแน่นอน เพราะมันเป็นคริปโตเคอเรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลกในด้านของมูลค่าตลาด และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่บัลลังก์ของ Bitcoin จะถูกแทนที่ คำถามคือ Bitcoin จะยิ่งใหญ่ได้แค่ไหน มันจะกลายเป็นสกุลเงินหลักที่ผู้คนใช้กันทั่วไปหรือไม่ เรื่องนี้ยังต้องรอดูกันต่อไป แต่มีสัญญาณบางอย่างที่บ่งชี้ว่าเป็นไปได้

ประเด็นสำคัญ:

  • เหตุการณ์ลดลงครึ่งหนึ่งของ Bitcoin ที่จะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2024 จะทำให้ BTC หายากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ราคาพุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ 

  • แม้ว่า Bitcoin จะครองตลาดอยู่ แต่คริปโตเคอเรนซีอื่นๆ เช่น Ethereum และ Sui ก็อาจเป็นคู่แข่งที่มีศักยภาพที่นักลงทุนให้ความสนใจเช่นเดียวกัน 

ประวัติศาสตร์ของ Bitcoin

ปี 2009 เป็นปีที่อุตสาหกรรมการเงินไม่อยากจดจำนัก เพราะเป็นปีที่เกิดวิกฤตสินเชื่อตึงตัว (Credit Crunch) และภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในช่วงปลายทศวรรษ 2000 ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อหลายประเทศทั่วโลก ตลาดหุ้นทั่วโลกตกต่ำอย่างรุนแรงและผู้คนต่างก็รู้สึกสิ้นหวัง 

สาเหตุของวิกฤตสินเชื่อตึงตัวนั้นมีหลายประการ แต่โดยสรุปแล้วคือวิกฤตการณ์ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เกิดวิกฤตความเชื่อมั่นต่อระบบธนาคารแบบดั้งเดิม หนังสือพิมพ์ The Times พาดหัวข่าวเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2009 โดยอ้างถึง Alistair Darling รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหราชอาณาจักรว่ากำลังอยู่ระหว่าง “การพิจารณาเพื่อเข้าไปอุ้มธนาคาร (Bailout) เป็นครั้งที่สอง”

เมื่อมองย้อนกลับไปที่พาดหัวข่าวนี้ หลังจากผ่านไปกว่าทศวรรษ พาดหัวข่าวนี้อาจดูไม่สำคัญสำหรับใครหลายคน และเป็นเพียงพาดหัวข่าวที่เน้นย้ำถึงความยุ่งเหยิงอันเลวร้ายที่อุตสาหกรรมต้องเผชิญในเวลานั้น วันที่ 3 มกราคม 2009 เป็นวันเสาร์ และตามปกติ หนังสือพิมพ์ The Times จะลดราคาในสหราชอาณาจักรเหลือ £1.50 หรือประมาณ $2 โดยเว็บไซต์นี้มีรายการสำเนาหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์ในวันนั้น ซึ่งระบุว่าสำเนาหนังสือพิมพ์ฉบับสมบูรณ์ของพาดหัวข่าวนี้มีอยู่เพียงเจ็ดฉบับ และมีราคาสูงถึง 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คำถามคือพาดหัวข่าวนี้มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Bitcoin อย่างไร 

Genesis Block

อุตสาหกรรมคริปโตมีมุมมองที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงจากมุมมองที่ไม่น่าพอใจนักของอุตสาหกรรมการเงินในปี 2009 เพราะปีนั้นเป็นปีที่คริปโตกำเนิดขึ้น ในวันที่ 3 มกราคม 2009 ผู้สร้าง Bitcoin ที่ไม่มีใครรู้ตัวตนซึ่งใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto ได้ขุด Bitcoin 50 เหรียญแรกออกมา และนั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นของคริปโตเคอเรนซีแรกที่ใช้งานได้จริงของโลก 

อย่างไรก็ตาม การขุดเหรียญครั้งแรกหรือ Genesis Block นี้กลับถูกฝังกลบด้วยพาดหัวข่าว “รัฐมนตรีคลังกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อเข้าไปอุ้มธนาคาร (Bailout) เป็นครั้งที่สอง” ซึ่งพาดหัวข่าวนี้อาจอ้างอิงได้โดยตรงถึงสาเหตุที่ Bitcoin ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่แรก ในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอน ท่ามกลางความหวาดระแวงที่เกิดขึ้นต่อธนาคารรายใหญ่ที่ควบคุมระบบการเงินแบบรวมศูนย์ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงมากมาย สกุลเงินดิจิทัลที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของการกระจายศูนย์ถือเป็นยาแก้พิษที่สมบูรณ์แบบ เพราะสกุลเงินดิจิทัลแยกออกจากธนาคารสถาบันโดยสิ้นเชิงและอยู่อย่างอิสระ 

ธนาคารไม่มีอำนาจและความสามารถในการควบคุมสกุลเงินรูปแบบใหม่นี้อีกต่อไป เพราะสกุลเงินนี้ใช้บัญชีแยกประเภทแบบกระจายตัวและเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งทุกธุรกรรมจะได้รับการตรวจสอบโดยฉันทามติของสมาชิกทุกคนในเครือข่าย และสินทรัพย์เหล่านี้ไม่ใช่สินทรัพย์ที่จับต้องได้ แต่เป็นสกุลทรัพย์ดิจิทัล

แนวคิดของ Bitcoin นั้นยอดเยี่ยมในเชิงทฤษฎี แต่คำถามคือมันจะได้รับความนิยมหรือไม่ ดังที่ Hal Finney ผู้รับ Bitcoin คนแรกจาก Nakamoto ตั้งข้อสังเกตว่า “ปัญหาหนึ่งที่พบได้ทันทีของสกุลเงินใหม่คือวิธีประเมินค่า แม้จะเพิกเฉยต่อปัญหาด้านการใช้งานที่แทบไม่มีใครยอมรับมันในตอนแรก แต่ก็ยังมีปัญหาในการหาข้อโต้แย้งที่สมเหตุสมผลเพื่อสนับสนุนมามูลค่าที่ไม่เป็นศูนย์ของเหรียญ” 

แน่นอนว่ายังมีปัญหาเกี่ยวกับวิธีการใช้งานในชีวิตจริงด้วย

การเป็นที่ยอมรับและมูลค่าที่สูงขึ้น

ช่วงเวลาสำคัญของ Bitcoin คือธุรกรรมที่ใช้สกุลเงินนี้เพื่อซื้อสิ่งของในโลกแห่งความเป็นจริงเป็นครั้งแรก นั่นคือตอนที่ Laszlo Hanyecz ใช้ 10,000 BTC ซื้อพิซซ่ามูลค่า $41 ในปี 2010 เหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า Bitcoin Pizza Day และมีการเฉลิมฉลองเป็นประจำทุกปีซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ส่งสัญญาณให้โลกรู้ว่า Bitcoin สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน 

ในเวลาต่อมา Bitcoin ก็ได้รับความนิยมและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว Bitcoin มีมูลค่าเป็นศูนย์จนถึงต้นปี 2010 จากนั้นเพิ่มขึ้นเทียบเท่ากับดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2011 และราคาก็พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลายคนให้ความสนใจกับราคาของ Bitcoin เป็นอย่างมาก คำถามคือจะมีการใช้งาน Bitcoin จริงๆ มากน้อยแค่ไหนสำหรับธุรกรรมในโลกแห่งความเป็นจริง

บทความจาก BBC นี้(ซึ่งจริงๆ มาจากบทความ “Bitcoin for Dummies”) อธิบาย Bitcoin ไว้อย่างง่ายๆ ว่า “Bitcoin มีมูลค่าเนื่องจากผู้คนเต็มใจที่จะแลกเปลี่ยนมันกับสินค้าและบริการจริงๆ หรือแม้แต่เงินสด” แน่นอนว่าราคา Bitcoin นั้นมีความผันผวนอย่างมากในบางครั้ง ตัวอย่างเช่น ราคาที่พุ่งขึ้นเกือบถึง $20,000 ในปลายปี 2017 และลดลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อไม่นานมานี้ก็เกิดการล่มสลายในตลาดคริปโตเมื่อปี 2022 แต่ในช่วงปลายปี 2020 และต้นปี 2021 ราคาของมันพุ่งสูงขึ้น

ในช่วงปี 2021 Bitcoin ทะลุราคาขึ้นสูงสุดอีกครั้ง และทำให้เกิดรูปแบบ Double Top ในเดือนเมษายนและพฤศจิกายนที่ราคากว่า $60,000 อย่างไรก็ตาม ปี 2022 เป็นปีที่ยากลำบากสำหรับ Bitcoin และ Altcoin อื่นๆ เนื่องจากตลาดหมีเข้าครอบงำ ในช่วงห้าเดือนแรกของปี 2022 Bitcoin สูญเสียมากกว่า 50% ของมูลค่าสูงสุดตลอดกาล (ATH) ในปี 2021 และราคาลดลงเหลือ $28,913 ในวันที่ 12 พฤษภาคม ซึ่งหลังจากนั้นก็เกิดการล่มสลายของเหรียญ Luna ที่เป็นเหรียญดั้งเดิมของ Terra หลังจากการ Depegging ของ UST (มูลค่า UST ลดลงต่ำกว่าอัตราแลกเปลี่ยนคงที่) เหตุการณ์อื่นๆ ที่ทำให้ราคา Bitcoin ลดลงอย่างมากในปีนั้นคือการล่มสลายของ FTX และภัยคุกคามด้านกฎระเบียบในตลาดคริปโตที่เพิ่มขึ้น

สถานการณ์ค่อยๆ ฟื้นตัวในช่วงต้นปี 2023 โดย BTC พุ่งขึ้นจนแตะ $30,000 ในช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะลดลงเพราะไม่สามารถทะลุระดับแนวต้านนั้นได้

กรณีการใช้งาน Bitcoin

ในช่วงแรกๆ การใช้งาน Bitcoin ยังค่อนข้างจำกัด เนื่องจากผู้คนต่างยังไม่เชื่อว่าสกุลเงินนี้จะสามารถเป็นสกุลเงินที่ใช้งานได้จริงในระยะยาว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนก็ค่อยๆ ยอมรับ Bitcoin มากขึ้น ผู้ค้าเริ่มรับการชำระเงินด้วย Bitcoin มากขึ้น ซึ่งบริษัทที่ช่วยให้ผู้ค้ายอมรับ Bitcoin ได้มากขึ้นก็คือ BitPay ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2011 ที่ให้บริการการชำระเงินด้วย Bitcoin 

อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เกี่ยวกับ Bitcoin คือในช่วงปีแรกๆ Bitcoin มักถูกใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงินและการทำธุรกรรมในตลาดมืด หรือ Silk Roadทำให้ชื่อเสียงของ Bitcoin เสื่อมเสียและบิดเบือนความคิดเห็นของสาธารณะ 

โชคดีที่ Bitcoin ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และสามารถสลัดภาพลักษณ์นี้ออกไปได้จนได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากผู้ค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย

การใช้งาน Bitcoin

ปัจจุบันในปี 2023 นี้มีหลายบริษัทใหญ่ที่ยอมรับ Bitcoin เป็นสกุลเงินในการชำระเงิน เช่น Tesla, PayPal, Microsoft, KFC, Subway, Shopify และ Home Depot นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนสถาบันและวาฬคริปโตเข้ามาลงทุนใน Bitcoin เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมองว่า Bitcoin จะเป็นสินทรัพย์คงมูลค่าที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมีนักลงทุนรายใหญ่จำนวนมากเข้ามาร่วมลงทุนในช่วงต้นปี 2021 

แรงกดดันในการซื้อที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ทำให้ราคาของ Bitcoin สูงขึ้น Cointelegraph กล่าวในเดือนมีนาคม 2021 ว่า “สถาบันต่างๆ กำลังซื้อ Bitcoin มากกว่าที่ขุดได้ในแต่ละเดือน และทำให้มันมีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับทุกคน” ยิ่งจำนวนความต้องการเพิ่มขึ้น จำนวน Bitcoin ที่มีอยู่ก็ยิ่งหายากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการคาดการณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์ลดลงครึ่งหนึ่งของ Bitcoin ครั้งต่อไปในเดือนเมษายน 2024 

อนาคตของ Bitcoin

อนาคตของ Bitcoin นั้นดูสดใส แต่ชะตากรรมในท้ายที่สุดของ Bitcoin ในฐานะสกุลเงินอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ประการแรกคือ ความผันผวนของราคา Bitcoin และความจำเป็นในการสลัดภาพลักษณ์นี้ออกไปเพื่อให้เกิดการยอมรับในกระแสหลัก ผู้ค้าจะลังเลที่จะรับการชำระเงินด้วยคริปโตต่อไปหากมูลค่าคริปโตมีแนวโน้มว่าจะลดลง ในทางกลับกัน ผู้ที่มีมุมมองที่ดีต่อราคา Bitcoin จะไม่ต้องการที่จะแลกมันกับสิ่งของธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวันและเลือกที่จะถือเอาไว้มากกว่า 

ความแน่นอนด้านกฎระเบียบ

เนื่องจาก Bitcoin มีลักษณะเป็นพื้นฐานแบบกระจายศูนย์ แนวคิดเรื่องกฎระเบียบจึงอาจดูขัดแย้งกับสิ่งที่ Bitcoin กำลังทำอยู่ อย่างไรก็ตาม ความแน่นอนด้านกฎระเบียบนั้นสำคัญมากต่อการยอมรับ Bitcoin ในวงกว้าง บางประเทศ เช่น เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ได้บุกเบิกแนวทางเพื่อสรรหาแนวทางด้านกฎระเบียบที่ชัดเจนสำหรับ Bitcoin และคริปโตเคอเรนซีอื่นๆ แต่อีกหลายประเทศยังล้าหลังอยู่มาก 

ในหลายประเทศ สถานะทางกฎหมายของ Bitcoin ยังคงไม่ชัดเจน หากรัฐบาลทั่วโลกกำหนดกรอบการกำกับดูแลมากขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า Bitcoin จะได้รับการยอมรับมากขึ้นในฐานะสินทรัพย์กระแสหลัก

ยิ่งไปกว่านั้น ลักษณะไม่ระบุตัวตนของธุรกรรมคริปโตเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการยอมรับสกุลเงินดิจิทัลเนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การเพิ่มโปรโตคอล Know Your Customer (KYC) บนตลาดแลกเปลี่ยนคริปโตหลักๆ เช่น Bybit ได้ช่วยเพิ่มความแน่นอนด้านกฎระเบียบ ทำให้แพลตฟอร์มปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับนักลงทุน

ความสะดวกในการใช้งาน

การซื้อของด้วยสกุลเงิน Fiat นั้นง่ายดาย แต่การซื้อของด้วย Bitcoin นั้นไม่ง่ายเลย แม้จะมีการชำระเงินด้วยบัตรอย่างแพร่หลาย การใช้เงินสดที่ลดลง และการใช้แอปที่สะดวกสบายอย่าง ApplePay (ตลอดจน WeChatPay และ Alipay ในประเทศจีน) แต่การใช้คริปโตในการทำธุรกรรมนั้นยังคงเป็นความท้าทายสำหรับคนส่วนใหญ่

ในปัจจุบัน ความซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดอย่าง Hot และ Cold Wallet รวมถึงการทำความเข้าใจคีย์สาธารณะและคีย์ส่วนตัวยังคงเป็นอุปสรรคหลักสำหรับคนทั่วไป อุตสาหกรรมคริปโตจำเป็นต้องหาวิธีทำให้การซื้อด้วย Bitcoin สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น

วิธีหนึ่งที่จะทำได้คือการเพิ่มการมีส่วนร่วมของบุคคลที่สามเพื่อเผยแพร่ Bitcoin สู่ผู้ชมกระแสหลักที่กว้างขึ้นผ่านแพลตฟอร์มของบุคคลที่สามเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น PayPal กำลังวางแผนที่จะเปิดตัวการขายคริปโตเคอเรนซีให้กับผู้ใช้ 325 ล้านคนของแพลตฟอร์มเอง เกตเวย์การชำระเงินดังกล่าวอาจกลายเป็นตัวพลิกการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดการยอมรับ Bitcoin และคริปโตเคอเรนซีอย่างเป็นวงกว้างมากขึ้นได้

Visa และ Mastercard ยังได้ประกาศการร่วมทุนกับ Bitcoin และการชำระเงินด้วยคริปโตเคอเรนซีอีกด้วย ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าผู้ให้บริการชำระเงินกำลังลดจุดยืนลง 

Blockchain Trilemma (ปัญหาสามประการของบล็อกเชน) ความสามารถในการปรับขนาด 

ความสามารถในการปรับขนาดเป็นปัญหาของ Bitcoin ที่ยังคงดำเนินอยู่ ในขณะที่บล็อกใหม่บนเชนของ Bitcoin สามารถรองรับธุรกรรมได้ประมาณ 2,700 รายการ (โดยเพิ่มหนึ่งบล็อกทุก 10 นาที) แต่ Visa นั้นสามารถรองรับได้ 2,000 ธุรกรรมต่อวินาที (TPS) ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าเครือข่ายของ Bitcoin จำเป็นต้องทำการปรับปรุงความสามารถในการปรับขนาดเพื่อให้แข่งขันกับแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้ ปัญหานี้เรียกว่า Blockchain Trilemma (ปัญหาสามประการของบล็อกเชน) และมีการนำโซลูชันหลายประการมาใช้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ SegWit

SegWit เป็นซอฟต์ฟอร์กที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมบนเครือข่ายโดยการแยกลายเซ็นดิจิทัลออกจากข้อมูลธุรกรรม ซึ่งคาดว่า SegWit และโซลูชันอื่นๆ เช่น Lightning Network จะช่วยให้เครือข่าย Bitcoin สามารถประมวลผลธุรกรรมหลายล้านรายการต่อวินาทีได้ การใช้งาน SegWit เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2017

การใช้งาน SegWit บนเครือข่าย Bitcoin แหล่งที่มา: Blockchair

ทองคำดิจิทัล

บางคนที่คอยติดตามอุตสาหกรรมคริปโตและคนอื่นๆ เรียก Bitcoin ว่าเป็นทองคำดิจิทัล คำถามคือมีเหตุผลอะไรที่จะสนับสนุนเรื่องนี้ได้บ้าง แน่นอนว่า Bitcoin มีปริมาณที่จำกัดเหมือนกับทองคำและทั้งสองสินทรัพย์สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนได้ แต่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าทั้งสองสินทรัพย์นี้จะทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์คงมูลค่าได้หรือไม่ 

นับตั้งแต่อดีตทองคำเป็นสินทรัพย์คงมูลค่าที่เชื่อถือได้และปลอดภัยเนื่องจากความผันผวนต่ำ ในทางกลับกัน Bitcoin นั้นมีความผันผวนมากและยังคงมีสถานะเป็นเพียงการลงทุนเพื่อเก็งกำไรเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความคล้ายคลึงกันกับทองคำทำให้นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ว่า Bitcoin จะได้รับการยอมรับเป็นสินทรัพย์คงมูลค่าเร็วกว่าที่คาดไว้

การคาดการณ์ราคา Bitcoin

ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2023 ราคาของ Bitcoin เทรดอยู่ที่ $25,790 โดยมีมูลค่าตลาด 500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราคานี้ลดลง 62% จากมูลค่าสูงสุดตลอดกาล (ATH) ของ Bitcoin ที่ $69,044 ในเดือนพฤศจิกายน 2021 และเพิ่มขึ้นกว่า 37,000% จากราคาต่ำสุดที่ $67.81 ในเดือนกรกฎาคม 2013 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีการคาดการณ์ราคา Bitcoin ในอนาคตกันอย่างมากมาย โดยมีนักลงทุนคริปโตบางคนคาดการณ์ราคา BTC ในแง่บวกมาก

นักวิเคราะห์ราคาของ Bitnation ได้วิเคราะห์ไว้ว่าราคา Bitcoin อาจเพิ่มขึ้นสูงสุด $98,090 ในปี 2025 และเพิ่มขึ้นไปถึง $227,155 ในปี 2030 ผู้เชี่ยวชาญของ PricePrediction ยังให้ความคิดเห็นที่เชิงบวกอย่างมากเกี่ยวกับการเพิ่มสูงขึ้นของราคา Bitcoin โดยคาดการณ์ว่าจะแตะ $77,030 ในปี 2025 และกระโดดไปถึง $496,845 ภายในปี 2030 

คำถามคือ Bitcoin $100 จะคุ้มค่าในปี 2030 หรือไม่ หากการคาดการณ์ราคา Bitcoin ที่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2030 ของ Cathie Wood ผู้เป็น CEO ของ ARK Invest กลายเป็นจริง และ $100 สามารถซื้อ 0.00388 BTC (ตามราคาปัจจุบันที่ $25,790) การลงทุนนี้จะมีมูลค่า $3,900 ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 3,800% ในเจ็ดปี 

กราฟราคา Bitcoin ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2022 ถึงเดือนมิถุนายน 2023 

แม้จะมีความเป็นไปได้ที่ราคา Bitcoin จะสูงขึ้นในอนาคต แต่ไม่ควรถือเป็นคำแนะนำทางการเงิน ขอแนะนำให้ศึกษาข้อมูลด้วยตนเองอย่างรอบคอบก่อนซื้อ Bitcoin หรือคริปโตเคอเรนซีอื่นๆ 

คู่แข่งคริปโตเคอเรนซีที่มีศักยภาพ

Bitcoin ครองตำแหน่งสูงสุดในบรรดาคริปโตเคอเรนซีมาโดยตลอด ในแง่ของการจัดอันดับและมูลค่าตลาด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความท้าทายต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมที่สูงและความเร็วในการทำธุรกรรมที่ช้า จึงมีคู่แข่งที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สกุลเงินดิจิทัลบางสกุลที่นักลงทุนหันไปลงทุนแทน Bitcoin มีดังต่อไปนี้

Ethereum (ETH)

ETH เป็นโทเค็นดั้งเดิมของบล็อกเชน Ethereum ที่ได้เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและเป็นคู่แข่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ Bitcoin ในตลาดคริปโตเคอเรนซี ระบบนิเวศของ Ethereum กำลังทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่ออัปเกรดการดำเนินงานของบล็อกเชนเพื่อค่าธรรมเนียม Gas Fee ที่ต่ำลงและการทำธุรกรรมที่รวดเร็วขึ้น

เหตุการณ์สำคัญที่สำคัญบางประการที่ Ethereum ได้ดำเนินการเมื่อเร็วๆ นี้ รวมถึงการย้ายจากกลไกฉันทามติ Proof of Work (PoW) ไปเป็น Proof of Stake (PoS) (The Merge) อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้ Ethereum เติบโตอย่างรวดเร็วคือการอัปเกรด Shanghai ในเดือนเมษายน 2023 ซึ่งช่วยให้สามารถยกเลิกการ Stake ETH จาก Beacon Chain ได้

ในบางครั้ง Ether ก็ทำงานได้มีประสิทธิภาพเหนือกว่า Bitcoin ซึ่งผู้ที่ชื่นชอบคริปโตจะมองว่าเป็นสัญญาณของ Alt Season (ช่วงเวลาที่ Altcoin สูบฉีด) จากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ Ethereum ผู้ติดตามคริปโตบางคนก็ให้ความเห็นในเชิงบวกว่า Ether จะสามารถมีประสิทธิภาพเหนือกว่า Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์คงมูลค่าที่นักลงทุนเลือกมากกว่า

SingularityNET (AGIX)

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามาสู่เทคโนโลยีบล็อกเชนSingularityNET เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มชั้นนำที่ต้องการผสานรวม AI เข้ากับบล็อกเชน SingularityNET มีศักยภาพมหาศาล สร้างขึ้นโดย Hanson Robotics ซึ่งเป็นทีมผู้สร้างหุ่นยนต์เหมือนมนุษย์ที่ชื่อว่า Sophia โทเค็นดั้งเดิมของบล็อกเชนคือ AGIX ซึ่งติดอันดับที่ดีในบรรดาโทเค็นที่เน้นเกี่ยวกับ AI

โปรเจกต์นี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างมาร์เก็ตเพลส AI แบบกระจายศูนย์และพัฒนาเป็นปัญญาประดิษฐ์ทั่วไปแบบโอเพ่นซอร์ส (AGI) เนื่องจากเรื่องราวเกี่ยวกับ AI ยังคงสร้างความฮือฮาไปทั่วโลก เราอาจได้เห็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากของโทเค็น AGIX เพราะอรรถประโยชน์ที่ใช้ได้บนแพลตฟอร์ม SingularityNET อันล้ำสมัย

Sui (SUI)

Sui เป็นบล็อกเชนเลเยอร์ 1 ใหม่ล่าสุดที่เข้าสู่ตลาดคริปโตเคอเรนซี Sui มีเป้าหมายที่จะลดเวลาแฝงในการดำเนินการสัญญาอัจฉริยะโดยการใช้แพลตฟอร์มที่รวดเร็วและปลอดภัย Sui เป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่คาดว่าจะได้รับความนิยมมากที่สุดในปี 2023 และถูกมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการยอมรับ Web3 และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น

Sui สร้างโดย Mysten Labs และได้รับการสนับสนุนจากทีมนักนวัตกรรมชั้นนำที่เคยทำงานให้ Meta ในการพัฒนา Novi ซึ่งเป็นวอลเล็ตดิจิทัลที่ยกเลิกดำเนินการไปแล้วของ Meta 

Sui ให้นักพัฒนาเหล่านี้สร้างสรรค์ความคิดได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องโค้ด SUI ที่เป็นโทเค็นดั้งเดิมของบล็อกเชน Sui ถูกใช้เพื่อการ Stake และชำระค่าธรรมเนียม Gas Fee สำหรับธุรกรรมต่างๆ อนาคตของ Sui นั้นดูเหมือนจะสดใส เพราะบล็อกเชนนี้มีทั้งผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม ระบบนิเวศที่รุ่งเรือง และทีมงานที่ยอดเยี่ยมอยู่เบื้องหลัง

Mantle

Mantle เป็นโปรเจกต์เลเยอร์ 2 ชั้นนำที่สร้างขึ้นจากสถาปัตยกรรมที่ปลอดภัยของ Ethereum โดยใช้ตัวจัดลำดับแบบกระจายศูนย์เพื่อลดการเซ็นเซอร์ตรวจสอบ และเทคโนโลยี Optimistic Rollups เพื่อประมวลผลธุรกรรมเป็นชุด ซึ่งช่วยให้ค่าธรรมเนียมต่ำ

ระบบนิเวศของ Mantle ได้รับการกำกับดูแลโดย BitDAO หนึ่งในองค์กรอิสระแบบกระจายศูนย์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด (DAOs) เนื่องจากการผ่านข้อเสนอในการรีแบรนด์โทเค็น BIT เป็น MNT และการเปิดตัว Mainnet ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนไตรมาสที่ 2 ของปี 2023 จึงทำให้การใช้ Mantle อาจมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว

ปิดท้าย

Bitcoin เป็นคริปโตเคอเรนซีที่เป็นที่รู้จักกันดีมากที่สุด ตราบที่ยังเป็นเช่นนี้อยู่ Bitcoin จะยังคงเป็นผู้เล่นหลักในตลาดคริปโตต่อไป (แม้ว่าส่วนแบ่งการตลาดจะลดลงจากปีแรกๆ แต่ก็ยังสูงกว่าในช่วงตลาดขาขึ้นของปี 2017 อยู่มาก)

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคหลายประการจะต้องได้รับการแก้ไขเพื่อให้เกิดการยอมรับในกระแสหลัก แนวคิดเรื่องการใช้ Bitcoin เพื่อซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันนั้นยังทำให้คนทั่วไปสับสน ดังนั้นอุตสาหกรรมจึงต้องหาวิธีทำให้ง่ายขึ้น 

ซึ่งการมีส่วนร่วมของบุคคลที่สาม เช่น การร่วมมือกับ PayPal อาจเป็นทางออกที่ดีได้ นอกจากนี้ ปัญหาด้านความสามารถในการปรับขนาดก็เป็นสิ่งที่ต้องเอาชนะให้ได้

ดังนั้น จึงยังไม่แน่ชัดว่า Bitcoin จะได้รับความนิยมมากเพียงใด เพราะยังมีอุปสรรคอยู่ แต่ก็มีแนวโน้มที่ดูดี ไม่ว่ากระแสคริปโตจะพาเราไปทางไหน จะมีช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นรออยู่ในอนาคตอย่างแน่นอน